เนื่องจากอังกฤษใช้ระบบการรักษาพยาบาลแบบ NHS การรักษาพยาบาลในส่วนของการคลอดบุตรจึงฟรีทุกอย่าง เริ่มตั้งแต่ฝากครรภ์ จนกระทั่งคลอดบุตร และยังฟรีไปถึงหลังคลอดบุตรอีก 12 เดือน ส่วนลูกที่คลอดออกมาแล้ว ค่ารักษาพยาบาลฟรีจนถึงอายุ 16 ปี (การรักษาพยาบาล) แต่ถ้าลูกเรียนต่อแบบเต็มเวลาค่ารักษาพยาบาลฟรีถึง 18 ปี (เรียนที่อังกฤษ)
เมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์ สิ่งแรกคือต้องไปฝากครรภ์ที่ GP ใกล้บ้าน โดยเราจะมีแพทย์ประจำตัวของเราเอง แต่การพบแพทย์จะเจอแค่ครั้งแรกของการฝากครรภ์เท่านั้น และหมอจะให้คุณเลือกโรงพยาบาลที่จะคลอด นอกนั้นจะเป็นหน้าที่ของพยาบาลผดุงครรภ์ประจำตัวเรา 1 ท่าน midwife ที่จะดูแลเราตลอดระยะเวลาการตั้งครรภ์ ก็คลายกับหมอนัดตรวจครรภ์ที่ไทยค่ะ หากการตั้งครรภ์มีปัญหาหรือพบสิ่งผิดปกติก็ต้องพบแพทย์ โดยโทรสอบถามและนัดพบหมอหากคุณแม่ยังเป็นกังวลอยู่ บางครั้ง midwife จะมาตรวจครรภ์ท่านที่บ้านกรณีที่มีปัญหา เช่น ลูกไม่ดิ้น midwife ก็จะมาตรวจการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ สามารถให้คำแนะนำทุกอย่างแก่ท่าน
เมื่อครรภ์ได้ประมาณ 4 เดือน ท่านสามารถขอ scan เพื่อดูเพศของทารก ที่โรงพยาบาล เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น ก็จะพบ midwife ถี่ขึ้น หากทุกสิ่งเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีปัญหาเรื่องการตั้งครรภ์ ก็ปฏิบัติตามปกติจนกว่าใกล้คลอด กรณีผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์ ก็จะพบหมอเป็นกรณีไป
เมื่อใกล้คลอดก็ต้องเตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างให้พร้อม เช่น เตรียมของใช้ให้ลูก เช่น เสื้อผ้า ผ้าอ้อม ถุงมือ ถุงเท้า ชุดเด็กเล็ก ฯลฯ โรงพยาบาลจะไม่มีชุดของโรงพยาบาลให้ใส่ เตรียมของใช้ของคุณแม่ด้วย เช่น ผ้าอนามัย ชุดใส่หลังคลอด ฯลฯ
เมื่อครบกำหนดคลอด (บางคนคลอดก่อนกำหนดบางคนหลังกำหนด) ทาง midwife จะอธิบายทุกอย่างว่าเราควรทำอย่างไร เมื่อเจ็บท้องคลอค ต้องโทรไปที่โรงพยาบาล แล้วทางโรงพยาบาลจะถามอาการของเรา เขาจะไม่ให้ตรงไปที่โรงพยาบาลทันที่ หากรู้สึกเจ็บท้องคลอดมักจะมีอาการเตือน (ซึ่งคุณแม่ต้องไปศึกษาสัญญาณเตือนเมื่อใกล้คลอด) ก็สามารถไปที่โรงพยาบาลทันที แต่ถ้าไม่บ่งบอกว่าจะคลอดทางโรงพยาบาลก็จะส่งคุณกลับบ้าน รอจนกว่าจะเข้าสู่ภาวะคลอดจริงๆ อันนี้ทรมานมาก เพราะเกิดขึ้นกับตัวเอง ไปโรงพยาบาลแล้วรอบหนึ่งต้องกลับมาที่บ้าน และอีกไม่ถึง 5 ชั่วโมงก็เจ็บท้องมากๆ จนทนไม่ไหวและไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง จากนั้นพยาบาลตรวจมดลูกเปิด 4 เซนติเมตร จึงให้นอนที่โรงพยาบาลได้
ห้องคลอด
ห้องคลอดที่โรงพยาบาลอาจจะไม่เหมือนกันทุกโรงพยาบาล แต่ที่ตัวเองเจอคือ เป็นห้องคลอดส่วนตัว ห้องกว้างมีอุปกรณ์การทำคลอดทุกอย่าง มีห้องน้ำส่วนตัวในห้องนั้น ญาติ(สามี)สามารถนอนในห้องนั้นได้ 1 คน และอยู่ในห้องคลอดตลอดเวลาที่เราคลอด ช่วงที่รอคลอดเข้าจะให้ออกกำลังกายโดยนั่ง bouncing ball for pregnancy เพื่อให้มดลูกเปิดมากยิ่งขึ้น ยังไม่คลอดสักทีรอจนครึ่งวันถึงจะคลอด คนที่ทำคลอดเป็น midwives อีกเช่นกัน ทีแรกนึกว่าจะเป็นคุณหมอเจ้าของไข้ที่เจอครั้งแรกที่ฝากครรภ์ แต่คิดผิดค่ะ ใครที่ตั้งครรภ์ในอังกฤษ ทุกอย่างเป็นหน้าที่ของ midwives หมด
bouncing ball for pregnancy
สำหรับตัวเองเมื่อคลอดลูกเสร็จ ก็ให้ลูกอยู่ในห้องเดียวกับแม่เลย ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้ายคลอดแบบปกติ เจ็บมากๆ เพราะลูกตัวโตหนัก 3.7 กก. อยู่โรงพยาบาลต่ออีก 2 วัน (ปัจจุบันนี้โรงพยาบาลในอังกฤษส่วนใหญ่ถ้าคลอดลูกเสร็จเขาจะส่งตัวกลับไปในวันถัดไป) พยาบาลก็จะสอนวิธีให้นมลูก วิธีอุ้มลูกให้ถูกวิธี สอนสามีถึงวิธีการดูแลเด็กคลอดใหม่ด้วย ที่โรงพยาบาลมีอาหารให้ 3 มื้อฟรี ห้องคลอดฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ด้วยความอยากตอบแทนในความช่วยเหลือทั้งหมดของเจ้าหน้าที่พยาบาล ได้ซื้อการ์ดขอบคุณ ช่อดอกไม้และช๊อคโกเลตเป็นการตอบแทนที่ทำคลอดให้ ซึ่งเมื่อเทียบกับบริการแล้วดีมากๆ โรงพยาบาลที่คลอดคือ Diana, Princess Of Wales Hospital (Scartho Road, Grimsby, DN33 2BA)
แม่ลูกได้อยู่ใกล้กัน คลอดเสร็จก็อยู่ในห้องคลอดเลย ไม่ย้ายไปห้องอื่น อันนี้ชอบมากๆค่ะ เห็นหน้าลูกความเจ็บปวดจากการคลอดลูกหายไปในพริบตาค่ะ
จากนั้นก็กลับบ้าน ประมาณ 1-2 สัปดาห์ midwife ก็จะมาเยี่ยมที่บ้าน หลังจาก 2 สัปดาห์ก็จะเปลี่ยนเป็น midwives อีกชุดหนึ่งมาตรวจทั้งแม่และลูกที่บ้าน เข้าจะให้คำแนะนำกรณีเด็กมีปัญหา ภาวะหลัง คลอดของคุณแม่ หรือแม้แต่ดูแผลที่เราคลอด เจาะเลือดลูกมาตรวจ จะมาดูแลแบบนี้ทุก 2 สัปดาห์ ทั้งเช็คน้ำหนักลูก ส่วนสูง ทุกอย่าง พอลูกได้ 4 เดือนขึ้นไป ให้พาลูกไปที่ children centre และสอบถามวิวัฒนาการของลูก เช็คน้ำหนัก ฯลฯ จนกว่าลูกอายุครบ 1 ขวบ ในแต่ละช่วงก็จะนัดให้ลูกฉีดวัคซีนตามตารางเวลาที่เขากำหนดไว้
แต่ละโรงพยาบาลที่อังกฤษไม่เหมือนกัน บางคนก็ได้อยู่ห้องรวมกับผู้ตั้งครรภ์ด้วยกัน และญาติไม่สามารถอยู่ด้วยได้ ขอบอกว่าเจอกับตัวเองเหมือนกันตอนแท้งลูกคนแรก ถูกส่งตัวให้ไปอยู่อีกโรงพยาบาลหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่โรงพยาบาลที่ตัวเองเลือก คือเขาจะให้เราอยู่รวมกันกับคุณแม่รายอื่นๆ ทั้งรอคลอด ใกล้คลอด และคลอดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตอนนั้นทรมานสุดๆ นึกดูว่าคนพึ่งแท้งลูก แล้วต้องมานอนในโรงพยาบาลคนเดียว ไม่อนุญาตให้ญาติเฝ้า ขอบอกว่าเป็นคืนที่โหดร้ายมาก นอนร้องไห้ทั้งคืน แต่พยาบาลก็มาเช็คนะค่ะ มาเปลี่ยนผ้าอนามัยให้เพราะเสียเลือดมาก
อย่างไรเสีย คุณแม่ทั้งหลายที่กำลังจะคลอดลูกในต่างแดน ก็ควรที่จะศึกษาข้อมูลต่างๆ ด้วยตัวเองด้วยค่ะ หากเกิดปัญหาระหว่างตั้งครรภ์เราจะได้รู้ว่าเราควรปฏิบัติอย่างไร ตัวเองและสามีมักจะโทรสอบถาม midwife เสมอเพื่อขอคำแนะนำ เนื่องจากเราเป็นคุณแม่มือใหม่ค่ะ ซึ่งตอนนี้ลูกสาวอายุ 7 ขวบแล้วค่ะ